อยู่ในห้วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๓ ในขั้นต้นน่าจะมีที่มาจากสมัยอู่ทอง ต่อมาในต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ศิลปสมัยสุโขทัยแพร่หลายมาถึงอยุธยามากขึ้น ช่างจึงสร้างพระพุทธรูปตามแบบสุโขทัย แต่ไม่งามเท่า มาถึงรัชสมัยพระเจ้าประสาททอง ได้มีการสร้างพระพุทธรูปด้วยศิลาทรายแบบเขมร ปลายสมัยอยุธยา นิยมสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบมหายาน
ลักษณะโดยทั่วไป วงพระพักตร์และพระรัศมีทำตามแบบสุโขทัย ที่ต่างกันคือ มีไรพระศก และสังฆาฏิใหญ่สำหรับพระทรงเครื่อง พระรัศมีทำเป็นก้นหอยหลายชั้น บ้างก็เป็นแบบมงกุฎของเทวรูปสมัยลพบุรี ถ้าทรงเครื่องใหญ่มักทำเป็นมงกุฎแบบพระมหากษัตริย์ ถ้าทรงเครื่องน้อย มักเอาแบบมาจากศิลปะสุโขทัย ต่างกันที่ในสมัยอยุธยาจะมีครีบยื่นออกมาสองข้างเหนือพระกรรณ ยังมีพระพุทธรูปสกุลช่างทางใต้ พบมากที่นครศรีธรรมราช จึงเรียกว่าสมัยอยุธยาแบบนครศรีธรรมราช ลักษณะเหมือนสมัยเชียงแสนรุ่นแรก ลักษณะทั่วไปพระรัศมีเป็นต่อมกลางคล้ายดอกบัวตูม เส้นพระศกใหญ่ พระโอษฐกว้างกว่าสมัยเชียงแสน ชายสังฆาฏิอยู่เหนือพระอุระ ชายจีวรใหญ่มีหลายแฉกซ้อนอยู่ใต้ชายสังฆาฏิ พระอุระนูน องค์พระอวบนั่งขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ฐานไม่มีบัวรอง ชนิดไม่มีบัวรองก็ไม่เหมือนบัวแบบเชียงแสน |